วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว

นางสาวสมินตรา ปรารถนา
ประวัติการศึกษา
ปี 2553 กำลังศึกษาปริญญาโท วิชาเอกสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ปี 2546 จบการศึกษาปริญญาตรี วิชาเอกวิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ประวัติการทำงาน
ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายสวัสดิการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จ. สุรินทร์
ปี 2547 ปฏิบัติหน้าที่ศูนย์กีฬา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จ. สุรินทร์
ปี 2546 ครูอัตรจ้าง โรงเรียนภูสิงห์ประชาเสริมวิทย์ จ.ศรีสะเกษ

ความเชื่อในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอดในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร

บทความ

เรื่องความเชื่อในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอดในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร
( นางสาวสมินตรา ปรารถนา )
บทนำ

การบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพจะเป็นผลดีต่อร่างกาย ต่อสิงแวดล้อม และระบบนิเวศวิทยาปัจจุบันองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนได้ให้ความสนใจกับการศึกษาอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน โดยอาศัยวัฒนธรรมการบริโภคอาหารท้องถิ่น (ไพรวัลย์ ตันติวัฒนเสถียร และคณะ, 2549 : บทคัดย่อ) อันเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย (ศูนย์ฝึกพัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น, 2543: 1) นักมานุษยวิทยาได้ให้ความสนใจเรื่องผลกระทบต่อการบริโภคอาหารในการทำงาน ของสตรีหลังคลอด ในระยะให้นมบุตรของผู้หญิงในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มีความเชื่อที่หลากหลายตามประเพณีไปจนถึงยุคปัจจุบัน (จดหมายข่าว,2552 : 3) ในชุมชนภาคอีสาน การยึดถือตามแนวปฏิบัติความเชื่อดั้งเดิม ยังเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมกำกับให้ผู้คนอยู่ร่วมกันในชุมชนได้อย่างเป็นสุขทั้งที่ความเชื่อต่างๆในเรื่องอาหารเป็นเรื่องบอกเล่าต่อๆมาโดยไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ เป็นต้นว่า กินมะนาวช่วยลดความอ้วน กินมะเขือเทศทำให้แก้มแดง ความเชื่อทำนองนี้มีมาก คนทั่วไปมักเก็บความเชื่อเหล่านี้มาเป็นหลักปฏิบัติในการเลือกอาหาร โดยมิได้พิจารณาเหตุผลในด้านวิชาการ แต่โดยสภาพทางสิ่งแวดล้อมขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ทำให้มีแนวปฏิบัติในความเชื่อแตกต่างกัน (ทวีรัสมิ์ ธนาคม , 2507 : 84) สำหรับการดูแลสุขภาพสตรีหลังคลอดและเด็กเองก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้านที่ยังคงสืบทอดของสตรีตั้งครรภ์ สตรีหลังคลอด ในการดำรงชีวิตของชุมชน บ้านดงมัน จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งประชากรโดยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 98 % เป็นชาวไทยเขมรสุรินทร์ มีความเชื่อในการบริโภคอาหารและการอยู่ไฟหลังคลอดเพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มดลูกเข้าอู่เร็ว ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยในยามสูงอายุ และความเชื่อเกี่ยวกับการห้ามรับประทานอาหารบางอย่างของสตรีหลังคลอดในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร บ้านดงมัน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
กล่าวโดยสรุปแล้ว บทความนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการฉายภาพสะท้อนหลักความเชื่อในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอด ภายใต้วัฒนธรรม ประเพณี ในชุมชนบ้านดงมัน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ การศึกษาความเชื่อในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอดที่สัมพันธ์กันกับกระทรวงสาธารณสุขให้มีความผสมผสานกลมกลืนกันเป็นการช่วยส่งเสริมสตรีหลังคลอดในระยะให้นมบุตรมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีพื้นฐาน ในการบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการ แล้วมีความเชื่อในการบริโภคอาหารอย่างมีเหตุมีผล โดยใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลหลักการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสังเกตแบบมีส่วนร่วมและสัมภาษณ์เชิงลึก แล้วทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามประเด็นการตีความทางความเชื่อในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอด

เนื้อหา
ปัจจุบันในแต่ละสังคมจะมีประเพณี วัฒนธรรม และกิจกรรมการบริโภคอาหารในรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกันออกไป รวมทั้งแนวปฏิบัติและวิธีการในการเลือกลักษณะและชนิดของอาหาร เพื่อที่จะนำมาใช้บริโภคว่าควรจะใช้วิธีการในการปรุงอาหารอย่างไรให้ได้ตามที่ต้องการส่วนเวลาและโอกาสที่ผู้บริโภคจะใช้ในการรับประทานอาหารนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันออกไปรวมถึงปริมาณอาหารที่จะใช้บริโภคในแต่ละมื้อและแต่ละโอกาสด้วย ซึ่งลักษณะและพฤติกรรมดังกล่าวนี้ จะมีความสอดคล้องกับประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละสังคม และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นวิถีทางการปฏิบัติในการบริโภคอาหารของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสังคมนั้น ๆ
ในสังคมไทยแต่ละภูมิภาค จะมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในแบบที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งในเรื่องของชนิด ประเภท และการบริโภคอาหารที่จะมีความแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งหากจะกล่าวถึงอาหารในสังคมไทยพอที่จะสรุปให้เห็นถึงความหมายและองค์ประกอบของอาหารได้ดังนี้

ความหมายของอาหาร
อาหาร หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เรากินหรือดื่มหรือรับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงและช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย อาหารอาจเป็นได้ทั้งของแข็งและของเหลวหรือก๊าซ เช่น อากาศที่เราหายใจเข้าไป เลือด น้ำเกลือ หรือยาฉีดที่แพทย์จัดให้ผู้ที่มีร่างกายอยู่สภาวะที่ไม่ปกติ ก็นับว่าเป็นอาหารด้วย (ทวีรัสม์ ธนาคม. 2507 : 3)

ความสำคัญของอาหาร
อาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่จะทำให้ร่างกายมีชีวิตและทำงานเป็นปกติ เราสามารถจำแนกประเภทของอาหารตามความต้องการของร่างกายได้ดังนี้ (ทวีรัสม์ ธนาคม. 2507 : 1-5) อาหารหลัก 5 หมู่
อาหารที่จัดว่าเป็นอาหารหลักของคนไทย อาจจำแนกได้เป็นหมู่ใหญ่ๆ 5 หมู่ ปริมาณสารอาหารที่มีอยู่มาก ดังนี้ คือ
1. เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม
2. ข้าว น้ำตาล เผือก มัน
3. ผักใบเขียว และพืชผักอื่นๆ
4. ผลไม้ต่างๆ
5. ไขมันจากสัตว์และพืช

1. เนื้อสัตว์ต่างๆ ในไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม เนื้อสัตว์ในที่นี้ หมายถึง เนื้อสัตว์ทุกชนิด เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เป็ด กุ้ง กบ นม รวมถึงน้ำนมจากสัตว์ทุกชนิดที่เราใช้เป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นในรูปนมสด นมผง นมข้นหวาน หรือนมอื่น ๆ สำหรับนมสดส่วนมากใช้นมวัว นมแพะ ในบางแห่งใช้นมแกะด้วย ไข่ที่กินเป็นประจำ คือไข่ไก่และไข่เป็ด นอกจากนั้นก็มีไข่จาระเม็ด ไข่นกกระทา ไข่นกพิราบ อาหารในหมู่นี้ให้สารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน ไขมัน เกลือแร่และวิตามิน เราได้จากอาหารหมู่นี้มากกว่าจากอาหารอื่น ๆ และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ เนื้อสัตว์ทุกชนิดให้โปรตีนที่มีคุณภาพดีเหมือนกันทั้งนั้น นอกจากเนื้อสัตว์ นม และไข่แล้ว อาหารที่ให้โปรตีนคุณภาพดีอีกอย่างหนึ่งคือถั่วเหลือและผลิตผลจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เราถือว่า เนื้อสัตว์ นม และไข่ เป็นอาหารสำคัญต่อสุขภาพ เพราะช่วยสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารแต่ละมื้อที่คนไทยทั่ว ๆ ไปรับประทานมักมีโปรตีนจากสัตว์ต่ำ เพราะเนื้อสัตว์ นมและไข่ มีราคาแพง ฉะนั้น ในกรณีที่มีเงินค่าอาหารน้อย ควรใช้ถั่วเหลือและผลิตผลจากถั่วเหลือง เพราะราคาถูกกว่ามากและมีคุณค่าใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ด้วยสำหรับถั่วเมล็ดแห้งชนิดอื่น ๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดงนั้น ถึงแม้ว่าแต่ละชนิดจะให้โปรตีนที่มีคุณภาพต่ำกว่าเนื้อสัตว์ แต่ก็ให้โปรตีนในปริมาณสูงกว่าโปรตีนจากอาหารพืชอื่น ๆ ถ้าเรากินถั่วเมล็ดแห้งเหล่านี้ ผสมกับเนื้อสัตว์และอาหารพืชอื่น ๆ แล้ว ร่างกายจะสามารถใช้ประโยชน์จากส่วนผสมของโปรตีนเหล่านั้นได้ดีขึ้น หรือถ้ากินถั่วเมล็ดแห้งหลาย ๆ ชนิดรวมกัน ก็จะได้โปรตีนคุณภาพดีเท่ากับโปรตีนจากเนื้อสัตว์นับว่าเราอาจจะกินโปรตีนคุณภาพดีราคาถูกได้โดยใช้ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ
2. ข้าว น้ำตาล เผือก มัน ข้าวในที่มีรวมถึงอาหารจำพวกข้าวทุกชนิด เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวโพด ข้าวเหนียวดำ รวมทั้งอาหารจำนพวก แป้ง เผือก มันเทศ มันสำปะหลัง ถั่วเมล็ด ขนม หมายถึง ขนมต่างๆ ซึ่งมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสำคัญ เช่น ข้าวเหนียวเปียกแกงบวดมันเทศ มันเชื่อม สังขยา ถั่วดำต้มน้ำตาล สารอาหารที่ได้จากอาหารหมู่นี้ส่วนใหญ่ก็คือ คาร์โบไฮเดรท ซึ่งเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าอาหารประเภทข่าวและ ขนมเป็นอาหารจำพวกเชื้อเพลิงก็ได เพราะให้พลังงานแก่มนุษย์ คนทั่วไปกินอาหารมากอยู่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรทเหล่านั้นมีราคาถูกกว่าอาหารประเภทอื่นๆ ในประเทศไทย อาหารแต่ละมื้อคนส่วนใหญ่กินข้าวมาก ฉะนั้น ไม่ต้องวิตกว่าจะได้คาร์โบไฮเดรทไม่เพียงพอ ตรงกันข้ามควรระวังที่จะไม่กินคาร์โบไฮเดรทมากเกินไปจนทำให้สารอาหารอื่นๆ น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ปริมาณของอาหารประเภทนี้ที่ร่างกายต้องการขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ถ้าทำงานมากก็ต้องการมาก
3. ผักใบเขียวและพืชผักอื่น ๆ ในประเทศเรามีผักที่กินได้อยู่หลายชนิด ท้องถิ่นหนึ่ง มีผักไม่เหมือนกัน แล้วแต่พืชที่มีผู้ปลูกขึ้นในท้องถิ่นนั้น ๆ และการคมนามคมขนส่งในแถบภาคกลางและภาคเหนือซึ่งมีน้ำอุดมสมบูรณ์ พืชผักก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเพราะปลูกง่ายและการขนส่งก็สะดวก พืชผักที่มีมากเกินความต้องการในท้องถิ่นหนึ่งก็อาจแจกจ่ายไปยังท้องถิ่นอื่น ๆ ได้ ผักที่เรากินกันเป็นประจำ มีทั้งที่เป็นใบ ดอก ผลและต้น ฯลฯ แต่ละอย่างให้เกลือแร่และวิตามินคล้าย ๆ กัน วิตามินที่หายากในอาหารอื่น แต่มีมากในผัก คือ วิตามินซี พืชแทบทุกชนิดให้วิตามินซี ผักที่มีสีเขียว สีเหลืองและสีแสด เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง ผักตำลึง หัวผักกาดแดง ให้สารประกอบแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอภายหลังที่เข้าไปในร่างกายแล้ว ผักให้คาร์โบไฮเดรทมากน้อยตามชนิด ชนิดที่ให้มากได้แก่จำพวกหัว เช่น เผือก มันเทศ มันฝรั่ง มันสำปะหลัง ชนิดให้ปานกลาง เช่น มันแกว กะล่ำปม หัวผักกาดแดง ฟักทอง ชนิดที่ให้น้อยกว่าได้แก่ ผักจำพวกใบ เช่น ตำลึง ผักบุ้ง และผักที่มีน้ำมาก เช่น ฟักเขียว แตงกวา การกินผักนอกจากจะให้ผลดีในด้านสารอาหารแล้ว ยังให้ประโยชน์อื่น ๆ อีก คือ ประโยชน์ในด้านขับถ่าย ผักที่มีกากมาก ช่วยในการระบายท้องได้ดี
4. ผลไม้ต่างๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผลไม้มากมีทุกฤดูกาล นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่เรามีผลไม้หมุนเวียนไว้กินตลอดปี ผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการคล้ายกับผัก คือ มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ แต่มีคาร์โบไฮเดรทสูงกว่าผัก ผลไม้แทบทุกชนิดให้วิตามินซีสูง และบางชนิด เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุกให้แคโรทีนสูงด้วย ผลไม้เป็นกากช่วยระบายท้องได้ เช่นเดียวกับผักและนอกนจากนั้นยังให้ความพอใจในด้านรูป รส กลิ่น และเนื้อสัมผัสเวลากินอีกด้วย ผลไม้ที่มีคุณภาพทางโภชนาการสูง ราคาถูก และหาได้ตลอดปี ได้แก่ กล้วยชนิดต่างๆ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่
5. ไขมันจากสัตว์ และพืช อาหารหมู่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำมันหรือไขมันที่ใช้ในการประกอบอาหารเท่านั้น อาหารบางอย่าง เช่น เนื้อหมู ไข่ ถั่วลิสง ก็มีไขมันแทรกอยู่มากพอสมควร เพียงแต่มองไม่เห็นน้ำมันเท่านั้น อาหารประเภทไขมันที่เรากินมีอยู่ 2 ประเภท คือ
5.1 ไขมันจากสัตว์ ที่ใช้มากที่สุดในการประกอบอาหาร คือ น้ำมันหมูนอกจากนั้น มีเนย ซึ่งเป็นไขมันจากนม ส่วนไขมันสัตว์ที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์ ก็มีน้ำมันหมู มันเนื้อ มันไก่ ครีมในนม น้ำมันและไขมันในไข่แดง เป็นต้น
5.2 ไขมันจากพืช พืชที่ให้ไขมัน ได้แก่ มะพร้าว เมล็ดถั่วแห้ง งา เป็นต้น พวกที่ไม่กินหมูโดยมากใช้น้ำมันถั่วและน้ำมันมะพร้าว คนไทยกินไขมันจากมะพร้าวในรูปกะทิ เป็นส่วนใหญ่เดิมคนส่วนมากไม่ชอบใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบอาหารเพราะไม่ชอบกลิ่น แต่ภายหลังมีผู้นำน้ำมะพร้าวมากลั่นให้หมดกลิ่น ทำให้ใช้กันหลายยิ่งขึ้น ส่วนจมูกข้าว (Germ) ของธัญพืชก็มีไขมันที่สกัดเป็นน้ำมันออกมาใช้กันมากแล้วก็มีน้ำมันรำจากจมูกข้าว (พรพิมล วงศ์เสนา, 2536 : 16 - 32)
อาหารสมดุลได้สัดส่วน
อาหารทุกมื้อ ควรประกอบด้วยอาหารทั้งห้าหมู่ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารครบทุกอย่างตามที่ต้องการคือ คาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ดังกล่าวก็หมายความว่าได้กินอาหารสมดุล ได้สัดส่วน

การบริโภคอาหารของคนไทย
การบริโภคอาหารของคนไทยในแต่ละภาค ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามประเพณีวัฒนธรรม สังคม ค่านิยม ความเชื่อและนิสัยการบริโภคที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในแต่ละภาค ซึ่งสามารถแยกตามลักษณะการบริโภคของภาคต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้

ความเชื่อเรื่องอาหารของคนภาคเหนือ
อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ห้ามมิให้หญิงมีครรภ์หรือเด็กกินจะทำให้คลอดยากหรือบางชนิดทำให้สมองทึบ ฟันผุ เป็นตานขโมย เป็นต้น
อาหารประเภทข้าว เผือกและมัน มีความเชื่อว่าถ้าคนเป็นแผลรับประทานอาหารประเภทข้าวเหนียวจะทำให้เป็นหนอง หรือถ้ารับประทานเผือกจะทำให้เป็นโรคเรื้อน อาหารประเภทผัก ผลไม้ เชื่อกันว่าถ้าสตรีมีครรภ์ และสตรีหลังคลอดรับประทานผักชะอม ตำลึงหรือสะเดา จะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและอาจถึงตายได้ หรือห้ามไม่ให้เด็กกินมะนาว เพราะจะทำให้กระดูกเปราะ ส่วนผลไม้ทุกชนิดเมื่อรับประทานแล้วจะทำลายฤทธิ์ยาทำให้ยาเสื่อมคุณภาพหรืออาจจะทำให้เกิดผลด้านอื่นอีก เช่น ถ้าให้สตรีมีครรภ์กินกล้วยแฝดจะทำให้เกิดลูกแฝด หรือผลไม้บางอย่างเมื่อกินไปแล้วทำให้เสาะท้อง เป็นต้น ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แม้ในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์อย่างกว้างขวางก็ตาม แต่คนทั่วไปก็ยังเชื่อตามคนโบราณควบคู่ไปกับวิทยาการสมัยใหม่ด้วย

ความเชื่อเรื่องอาหารของคนภาคใต้
อาหารที่ห้ารับประทานหลังคลอด คือ ปลาที่มีมันมาก ปลาที่คาวจัด อาหารหมักดองทุกชนิด อาหารที่มักจะห้ามรบประทานระหว่างเจ็บป่วย (เช่น ขนมจีน ข้าวเหนียว) ผลไม้แทบทุกชนิด ละมุด ขนุน หน่อไม้
ความเชื่อเรื่องอาหารของคนภาคกลาง
อาหารแสดงสำหรับผู้ป่วย หน่อไม้ดอง ของดอง กล้วย ข้าวเหนียว อาหารทะเล แกงเผ็ดเนื้อ น้ำแข็ง ละมุด มะพร้าว อาหารรสจัด ขนุน หมู ไก่ (ตัวผู้)
อาหารที่ห้ามรับประทานระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด ของเผ็ด เนื้อสัตว์ ของดอง หน่อไม้ ต้นหอม กระเทียม อาหารรสจัด

ความเชื่อเรื่องอาหารของคนภาคอีสาน
เมื่อก่อนภาคอีสานจะมีลักษณะเป็นสังคมปิด ความเจริญต่างๆ ยังไม่ค่อยมียึดถือ ความเชื่อตามประเพณีวัฒนธรรม และตามคำบอกเล่าต่อๆ กันมา โดยไม่มีเหตุผลเป็นความเชื่อในลักษณะฝังหัว แม้ระยะหลังต่อมาเมื่อเริ่มมีความเจริญแล้ว แต่ความเชื่อเก่าๆ ก็ยังไม่ค่อยมีใครกล้าฝ่าฝืนที่จะไม่ปฏิบัติตาม เพราะความเชื่อนี้ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งบางครั้งก็ถูกบางครั้งก็ผิด แต่ด้วยสัญชาติญาณในการรักษาชีวิตของแต่ละคน ทำให้เกิดความกลัวถ้าฝ่าฝืนอาจมีเหตุอันเป็นไปเพราะในบางครั้งก็เห็นตัวอย่างเป็นจริงดังคำพูดที่เล่ากันต่อๆ มา จึงทำให้เกิดความเชื่อยิ่งขึ้น แม้ต่อมาการศึกษาเริ่มเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้เกิดความเจริญมากขึ้น และทำให้คนมีความรู้มีเหตุผลมากกว่าเดิม แต่ความเชื่อเรื่องการบริโภคของคนอีสานก็ยังยึดติดอยู่กับความเชื่อเก่า ๆ ที่ไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนเพราะความกลัวว่ารับประทานแล้วจะได้รับผลถึงชีวิต ฉะนั้น ความเชื่อนี้ก็ยังคงอยู่กับสังคมของชาวอีสานอยู่ต่อไปเพราะเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะไม่เชื่อ ยิ่งปัจจุบันมีอาหารให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิดการงดบริโภคอาหารบางอย่างตามความเชื่อจึงมีขึ้นได้อย่างมาก ซึ่งความเชื่อในการบริโภคอาหารนี้บางอย่างก็มีเหตุผล บางอย่างก็ไม่มีเหตุผลเลย ดังตัวอย่างบางส่วนของความเชื่อในเรื่องการบริโภคของคนอีสานต่อไปนี้ อาหารแสลงสำหรับผู้ป่วย เนื้อวัว เนื้อควาย เป็ดเทศ หอย หน่อไม้ดอง ผักเสี้ยนดอง ไข่ร้างรัง ข้าวเหนียวดำ อาหารรสจัด อาหารหวาน อาหารที่ห้ามรับประทานของสตรีตั้งครรภ์และสตรีหลังคลอด ของหมักดอกทุกชนิด ฟักเขียว ฟักทอง อาหารที่มีไขมันมากๆ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ใหญ่ อาหารกลิ่นฉุน จะเห็นได้ว่าการบริโภคอาหารของคนไทยในท้องถิ่นต่าง ซึ่งมีทั้งความเหมือนกันคล้ายกัน และแตกต่างกัน ตามปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้น ในที่นี้จะกล่าวถึงอาหารในส่วนที่เป็นอาหารเฉพาะของกลุ่มชาวไทยเขมรสุรินทร์เท่านั้น จังหวัดสุรินทร์ เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานที่มีความเป็นมายาวนาน ดังจะเห็นได้จากประวัติความเป็นมาตลอดจนขนบธรรมเนียมของจังหวัดสุรินทร์ ดังต่อไปนี้

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสุรินทร์
สุรินทร์เป็นจังหวัดเก่าแก่จังหวัดหนึ่ง ที่มีโบราณสถานแสดงให้เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในยุคสมัยขอมเสื่อมอำนาจ จังหวัดสุรินทร์และดินแดนใกล้เคียงมีสภาพเป็นป่า ไม่มีการบันทึกกล่าวถึงเมืองสุรินทร์ในสมัยอยุธยาตอนต้นหรือตอนกลาง เพิ่งจะมีการรู้จักเมืองสุรินทร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โบราณสถานที่ปรากฏในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีต่างสันนิษฐานว่า ดินแดนแถบนี้จะต้องเคยเป็นเมืองสำคัญในอดีต โบราณสถานมากมายกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ทั่วไปคือ อำเภอปราสาท อำเภอเมือง อำเภอจอมพระ อำเภอสังขะ (อัจฉรา ภานุรัตน์, 2529 : 8-14 อ้างถึง กรมศิลปากร, 2503-2504 : 18 – 33) ปราสาทหินที่สำรวจพบสันนิษฐานว่า ขอมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เมืองสุรินทร์อาจจะเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่อยู่ในเส้นทางการไปมาของขอมระหว่างเขาพระวิหาร เขาพนมรุ้ง นครธม (อัจฉรา ภานุรัตน์, 2539 : 8 – 14 อ้างถึง ไพบูลย์ สุนทรารักษ์, 2515 : 64) ขอมยังคงยึดเอาเมืองสุรินทร์หน้าด่านในการที่จะข้ามเทือกเขาพนมดงรักไปสู่นครธม ซึ่งเป็นราชธานีของขอมในสมัยนั้น เพราะเมืองสุรินทร์มีกำแพงดินและคูเมืองล้อมรอบ 2 ขั้น เหมาะสมที่จะสร้างเป็นค่ายประตูหอรบ เพื่อป้องกันการรุกรานของข้าศึก การตั้งเมืองสุรินทร์ ปรากฏหลักฐานพงศาวดารเมืองสุรินทร์ว่า มีชาวไทยพื้นเมือง กลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า “ส่วย” หรือ “กูย” อพยพมาจากเมืองอัตปือ แสนแปในแคว้นจำปาศักดิ์ ข้ามลำน้ำโขงเข้าสู่ฝั่งลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2200 และแยกย้ายกันเป็นหลายพวก ตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่ต่างๆ (อัจฉรา ภานุรัตน์, 2539 : 8-14 อ้างถึง มรว. ปฐม คเนจร
( หม่อมอมรวงศ์วิจิตร, 2507 : 30) แต่ละพวกที่หน้าที่ควบคุมมาและตั้งถิ่นฐานดั้งเดิม
พวกที่ 1 ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านเมืองที (บ้านเมืองที ตำบลเมืองที อำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อเชียงปุม
พวกที่ 2 ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โคกเมืองเตา หรือบ้านกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรีในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อเชียงสี หรือตากะอาม
พวกที่ 3 ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โคกลำดวน (เขตอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ ตากะจะ และเชียงขัน
พวกที่ 4 ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านเมืองลีง (เขตอำเภอจอมพระในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อเชียงสง
พวกที่ 5 ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านโคกอัจจะ หรือบ้านโคกดงอาง (เขตอำเภอสังขะในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อ เชียงฆะ
พวกที่ 6 ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านกุดปไท (บ้านจารพัด อำเภอศีขรภูมิในปัจจุบัน) หัวหน้าชื่อเชียงไชย
ประชาชนส่วนใหญ่มีเชื้อชาติ มีภาษาพูดที่เป็นพื้นเมือง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่พูดภาษาเขมรเป็นพื้นเมือง เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด ภาษาเขมรสุรินทร์ จะผิดเพี้ยนจากภาษากัมพูชาไปบ้างและกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีมากในท้องที่อำเภอเมือง อำเภอปราสาท อำเภอกาบเชิง อำเภอสังขะ อำเภอศีขรภูมิ อำเภอท่าตูมและกิ่งอำเภอลำดวน ส่วนอำเภออื่นก็มีบ้าง
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มพูดภาษาลาวเป็นภาษาพื้นเมือง ส่วนใหญ่อยู่อำเภอรัตนบุรี อำเภอสนม อำเภอชุมพลบุรี กลุ่มนี้มีมากเป็นอันดับสอง
กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่พูดภาษากูยเป็นภาษาพื้นบ้าน มีน้อยกว่าสองกลุ่มที่กล่าวมาแล้ว ส่วนใหญ่อยู่อำเภอจอมพระ อำเภอศีขรภูมิ อำเภอสำโรงทาบ อำเภอท่าตูม อำเภอสังขะ

กลุ่มชาติพันธุ์เขมร
ในการสืบค้นทางโบราณคดีได้พบร่องรอยของอาณาจักรเก่าแก่ร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนัน อยู่ด้านบนแนวเขาพนมดงรัก สิ่งที่ค้นพบได้แก่ใบเสมา เสาหิน จารึก ประติมาโคนันทิ ทับหลังศิลปะปลายน้ำวนและเจดีย์ศิลปะไพรกเมง สิ่งเหล่านี้จะมีให้พบเห็นอยู่เฉพาะในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ที่พบเห็นนอกพื้นที่ดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุรุ่นหลัง แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นขอบขันธสีมานอก ตำแหน่งดั้งเดิมของอาณาจักรเจนละ ใบเสมาที่พบ เป็นเสมาธรรมที่ใช้เป็นสัญลักษณ์บอกว่าพุทธศาสนาได้แพร่หลาย เข้ามายังบริเวณที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี พุทธศตวรรษที่ 12 เพราะใบเสมา เป็นศิลปะสมัยทราวดี ส่วนเสมาหินจารึก หรือศิลาจารึกที่พบเห็นแทบทั้งสิ้นมีใจความบอกพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าจิตเสนมเหนทรวรมัน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สมัยเจนละประติมาโคนันทิ เป็นจำหลักรูปเคารพ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า เป็นเทวรูปประจำพระองค์ พระเจ้าจิตเสน ส่วนเจดีย์หรือที่นิยมเรียกว่า ปราสาทที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบไพรกเมง ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบเห็นในประเทศไทย ลักษณะภูมิสปัตยกรรมรอบปราสาทดังกล่าวมีทั้งสระน้ำหลายสระ มีคันคูชักน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ครอบคลุมพื้นที่แหล่งโบราณขนาดใหญ่เป็นขนาดชุมชนเมือง ลักษณะการสร้างสระและคูน้ำ ไม่ใช่เพื่อนำน้ำขึ้นมาใช้ในพิธีเกษียรสมุทร เช่นที่พบเห็นตามชุมชนโบราณอื่น แต่เป็นการเก็บและจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรตามแบบฉบับเทคโนโลยีวิศวกรรม ชลประทานสมัยฟูนัน อนึ่งทับหลัง ศิลปะธาราบริวัติได้รับการกำหนดอายุเก่าแต่ที่สุดกว่าทับหลังศิลปะอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นจำหลักที่ให้ความสำคัญต่อน้ำและไฟฟ้า ประหนึ่งเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นจินตนาการของช่าง ที่ไม่มีอิทธิพลของระบบเทวราชาครอบงำก็พบเห็น ณ บริเวณส่วนนี้เช่นกัน
ตลอดระยะเวลายาวนานตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้นไม่มีหลักฐานใด ๆ บอกว่ามีชาวกัมพูชาอพยพจากด้านใต้แนวเขาพรมแดนเข้ามายังบนพื้นที่เมืองสุรินทร์ จะมีบ้างก็แต่ตามจารึกไว้ที่ปราสาทบางแห่งว่าได้มีการแต่งตั้งมอบหมายให้พราหมณ์หรือปราชญ์จากราชสำนักทำหน้าที่เหมือนหนึ่งไวยาจักร ดูแลเทวสถานต่าง ๆ ซึ่งก็มีจำนวนไม่มากจวบจน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีชาวกัมพูชาอพยพจากเมืองไผทมาศ เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้เมืองสุรินทร์ปัจจุบัน โดยข้อเท็จจริงชาวกัมพูชาดังกล่าวไม่ได้มีความประสงค์ จะอพยพเข้ามา เพียงแต่ขอหลบภัยสงครามอยู่ตามบริเวณรอยต่อของสองประเทศเท่านั้น แต่เพราะความเป็นผู้มีน้ำใจ โอบอ้อมอารีของเจ้าเมืองสุรินทร์สมัยนั้น จึงได้เชิญชาวกัมพูชาเหล่านั้นเข้ามาตั้งรกรากเป็นการถาวรอยู่ในเขตเมืองสุรินทร์ จนกลายเป็นตำนานรักของ 2 เผ่าพงศ์ คือ ระหว่างเจ้ากูยสุรินทร์ กับเจ้าหญิงจากไผทเพชร มาจนกระทั่งปัจจุบัน จากหลักฐานและข้อเท็จจริงดังรายงานจะเห็นว่าชาวสุรินทร์ เชื้อสายเขมร ไม่ได้อพยพมาจากกัมพูชา แต่เป็นชาวพื้นเมืองที่นี่เป็นชนส่วนใหญ่ของประชากรชาวสุรินทร์ แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้ ณ ที่นี้และที่ประเทศกัมพูชาจัดอยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร ด้วยกัน เดิมทีเดียวอาจมีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากกว่านี้ แต่ในปัจจุบันได้ผิดแผกแตกต่างกันไปมาก ส่วนขนบประเพณี ค่านิยม ตลอดจนวิถีชีวิตแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (อัจฉรา ภาณุรัตน์, 2539 : 30 – 35) เนื่องจากประชาชนจังหวัดสุรินทร์ส่วนใหญ่พูดภาษาเขมร ดังนั้น ประเพณีวัฒนธรรมทั้งหลายจึงเป็นของกลุ่มที่พูดภาษาเขมรมากที่สุดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์ (อัจฉรา ภานุรัตน์, 2539 อ้างถึง สมจิตร กัลป์ยาศิริ, 2523 : 4)

การบริโภคอาหารของชาวไทยเขมรสุรินทร์
สุรินทร์เป็นจังหวัดในภาคอีสานที่มีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ประชากรขยันทำมาหากิน มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำมูล แม่น้ำชี เป็นแม่น้ำที่สำคัญต่อชาวเมือง และมีแหล่งน้ำธรรมชาติห้วยเสนง อาหารพื้นเมืองของชาวไทเขมรสุรินทร์มีมากหมายหลายชนิด เช่น
อาหารคาว ซันลอเมือง (แกงไก่) ซันลออังกัญ (แกงขี้เหล็ก) คูซัจ (คั่วเนื้อ) เบ๊าะตร๊อบ(ตำมะเขือ) เบ๊าะเมือน (ตำไก่) เบ๊าะละฮ็อง (ตำมะละกอ) พัดซะแน๊ต (ตำถั่วฝักยาว) ล๊าบเตีย (ลาบเป็ด) กอยไตรยกอง (ก้อยกุ้ง) คูกะเจา (คั่วหอย) จังโฮยไตร (นึ่งปลา) ฯลฯ อาหารหวาน นมโช้ค (ขนมฝักบัว) นมปันเจ๊าะ (ขนมจีน) นมกันจ๊อบ (ขนมเทียน) นมล๊วด (ขนมลอดช่อง) อันซ็อมซะเลอะโดง(ข้าวต้มใบมะพร้าว) นมผการันเจก (ขนมละอองลำเจียก) ขนมกันเตรือม (ขนมกันเตรือม) นมมุก(ขนมมุก) นมตาราง (ขนมตาราง)นมทะเลิมกะเบย) ขนมตับควายหรือขนมเปียกปูนดำ) นมเนียงเล็ด (ขนมนางเล็ด) ผลไม้ สวาย (มะม่วง) อัมปึล (มะขาม) กันเตรีย) (พุทรา) อุเลอะ(แตงโม) ปิงเลียง (กะท้อน) ละปูด(ฝรั่ง) ละฮอง (มะละกอ) ตะเชเมือน (หงอนไก่) ปูด(ข้าวโพด) ตุมตีบ(น้อยหน่า) สะปือ (มะเฟือง) (สมนึก รัตนกำเนิด, 2545 : 14)

ความเชื่อเรื่องอาหารของชาวไทยเขมรสุรินทร์
จังหวัดสุรินทร์ มีชนชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่ไม่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาในการพูดจาติดต่อสื่อสารระหว่างกันอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ ชาวเขมรและกวย ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้จะมีวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันทั้งในด้านความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรม อันเป็นอิทธิพลจากบรรพบุรุษ ในกลุ่มชนของตัวเอง นำมาใช้อย่างโดดเด่นในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ความเชื่อในเรื่องพิธีกรรมความเป็นอยู่และการดำรงชีวิต รวมทั้งความเชื่อในเรื่องการบริโภคอาหาร ที่มักจะยึดถือแนวปฏิบัติด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากสภาพการดำรงชีวิตของชนชาวเขมรสุรินทร์ จะมีความเกี่ยวข้องกับเวทมนต์และไสยศาสตร์ อยู่เป็นอันมาก โดยความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ของชาวเขมรจะเกี่ยวโยงไปถึงการรับประทานด้วย ซึ่งหากมีการรับประทานแบบผิดผีหรือผิดไปจากความเชื่อของบรรพบุรุษก็จะทำให้เกิดสิ่งเลวร้านในการดำเนินชีวิต จึงทำให้ชนชาวไทยเขมรสุรินทร์เกิดความเชื่อที่เรียกว่า “เตือะ(ขลำ” เกี่ยวกับการบริโภคอาหารเป็นพิเศษ โดยลักษณะของความเชื่อส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบกับร่างกายผู้ที่อยู่ในช่วงพิเศษ หรือ ช่วงผิดปกติ เช่น ช่วงตั้งครรภ์หลังคลอด วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีสภาวะร่างกายอยู่ในช่วงผิดปกติโดยจะมีความเชื่อไปตามสภาพการณ์ต่างๆ ซึ่งสามารถแยกรายละเอียดได้ดังนี้ (สมนึก รัตนกำเนิด, 2545 : 14)

กลุ่มหญิงหลังคลอด
หญิงหลังคลอดชาวไทยเขมรสุรินทร์ นิยมปฏิบัติในการอยู่ไฟหลังคลอด เพราะมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า จะทำให้ร่างกายแข็งแรง มดลูกเข้าอู่เร็ว เวลาแก่ตัวไปจะไม่เจ็บป่วยมีสุขภาพดีและมีอายุยืน โดยวิธีการอยู่ไฟหลังคลอดของหญิงชาวไทยเขมรสุรินทร์ คือจะนอนค่ำหน้าอยู่บนแคร่ไม้ไผ่สูงประมาณ 1.50 เมตร ปูด้วยเสื่อกกนอนพลิกกลับไปกลับมาให้ตัวถูกความร้อนจากเตาไฟที่ก่อและคอยควบคุมไม่ให้ร้อนจนเกินไป โดยใช้เชื้อไฟ คือ ฟื้นจากไม้มะขามป้อม ซึ่งเป็นไม้ที่ไม่มีควัน (ถ้าไม่มีไม้มะขามป้อม อาจใช้ไม้จบกแทน) ส่วนวิธีปฏิบัติตามความเชื่อนอกเหนือจากการอยู่ไฟอีกคือ หญิงหลังคลอดต้องตัดผมให้สั้น เพื่อความสะดวกในการอาบน้ำต้มสมุนไพร ซึ่งประกอบด้วยใบหนาด ใบมะขาม หญ้าคา ใบส้มป่อย หัวขมิ้น ผักบุ้งไทย ทั้งราก หัวไพล และใส่พิมเสน ผสมกับการบูร เพื่อให้มีความหอม ซึ่งเชื่อว่าเป็นการทำให้ผิวสวยร่างกายแข็งแรง และมีน้ำนมออกมาเลี้ยงลูกได้เต็มที่ แต่ถ้าผู้หญิงบางคนหลังคลอดแล้ว อยู่ไฟไม่ได้ เพราะแพ้เหงื่อ ก็จะเลือกเอาวิธีเข้ากระโจมอบสมุนไพร โดยนำเอาสมุนไพรที่ใช้ต้มอาบ มาใส่หม้อต้มให้เดือด แล้วปิดฝานำไปตั้งไว้ในกระโจม ซึ่งสามารถทำตามวิธีพื้นบ้าน โดยใช้สุ่มไก่คลุมด้วยผ้าผวย (ผ้าห่ม) สีดำให้รอบ การเข้าไปยู่ในกระโจมครั้งแรกของหญิงหลังคลอดจะต้องค่อย ๆ แง้มฝาหม้อให้ไอน้ำต้มสมุนไพรระเหยออกมา เอามืออังให้ขึ้นเป็นการทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมแล้วเอามือกวักไอน้ำเข้าลูบไส้ให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงค่อย ๆ ลูกตามลำตัว เมื่อความร้อนของไอน้ำระเหยจากหม้อต้มเข้าสู่กระโจมมากขึ้นจะทำให้เกิดความร้อนแก่ผู้อยู่ในกระโจมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เหงื่อในตัวออกมามาก ซึ่งถ้าหากมีเหงื่อออกมากๆ ยิ่งเป็นการดี เพราะจะเป็นการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายสะอาด แข็งแรงมีน้ำนมมาก ผิวพรรณเปล่งปลั่งและไม่แก่ง่าย ซึ่งจากการปฏิบัติที่ผ่านมาของหญิงหลังคลอดแต่ละคน ต่างก็เห็นว่าเป็นผลดี ส่วนข้อปฏิบัติที่เป็นข้อห้ามของหญิงหลังคลอดของชาวไทยเขมรสุรินทร์ เกี่ยวกับการรับประทานอาหารนั้นก็ได้มีการเล่าบอกและการตักเตือนต่อๆ กันมาว่าหญิงหลังคลอด ต้องยึดถือข้อห้ามเพื่อความแข็งแรง และความปลอดภัยของแม่และลูก (สมนึก รัตนกำเนิด, 2545 : 15)
ข้าพเจ้าได้ทดลองสัมภาษณ์สตรีหลังคลอดและสตรีที่ผ่านการคลอดบุตรจำนวนหลายท่านในแขวงจำปาสักศักดิ์ ประเทศลาว ในหมู่บ้านหนองไฮ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์และในหมู่บ้านดงมัน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และข้าพเจ้าได้เรียบเรียงคำพูดในการสัมภาษณ์ดังต่อไปนี้

สัมภาษณ์บุคคลที่ 1 ชื่อคุณสนั่น เซื่ยงว่อง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณ บ้านหนองไฮ ตำบลโสน อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คุณพี่นันต์ อายุ 33 ปี สามีเป็นคนกาญจนบุรีเชื้อสายจีน พี่นันต์มีลูก 2 คน แล้วพี่นันต์ก็ได้เล่าถึงการกินอาหารหลังคลอดและการอยู่ไฟ การอยู่ไฟหลังคลอดจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มดลูกเข้าอู่เร็ว เวลาแก่ตัวไปจะไม่เจ็บป่วยมีสุขภาพดีและมีอายุยืนในการอยู่ไฟจะใช้ฟื้นจากไม้มะขามป้อม ซึ่งเป็นไม้ที่ไม่มีควัน หรือใช้ไม้จบกแทน แล้วจะมียาสมุนไพรต้มดื่มแทนน้ำโดยใช้หม้อดินในการต้มเพราะยาจะไม่ระเหยออกและมีกลิ่นหอมของตัวยาสมุนไพร อาหารที่กินได้ก็จะเป็น ปลาย่าง หมู่ปิ้ง ถ้าเป็นประเภทต้มก็จะเป็น ต้มจืดหมู ต้มปลาเน้นต้องใส่ใบกระเพรา เพราะจะทำให้น้ำนมไหลดี และอาหารที่ห้ามก็จะเป็น ผักชะอม เชื่อว่าจะไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ปวดหัวตาลาย หมดเรี่ยวแรง เป็นลมชัก และถ้าแพ้มาก อาจทำให้ถึงตายได้ เนื้อวัว-เนื้อควาย เชื่อว่า กินแล้วแผลที่เกิดจากการคลอดไม่หาย เกิดฝีหนองและทำให้ท้องร่วง ของหมักดอง เชื่อว่า จะทำให้เกิดลมในท้องหน้ามืดตาลาย คางแข็งพูดไม่ได้ อาเจียนท้องร่วงจนหมดแรงมีพิษสะสมผมแห้ง ตัวดำไม่มีแรง ไม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก แตงโม แตงไทย แตงกวา เชื่อว่าจะทำให้หมดเรี่ยวแรงแขนขายกไม่ขึ้น วิงเวียนมึนศีรษะ เนื้อตัวเย็น ขาตามแขนขา และของเย็นทุกอย่างเพราะเชื่อว่า จะทำให้เลือดแข็งตัวไม่ขับน้ำคาวปลา

สัมภาษณ์บุคคลที่ 2 ชื่อคุณเลย ผ้าผิวดี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2552 ณ บ้านดงมัน ตำบลคอโค อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ คุณป้าเลย อายุ 55 ปี คุณป้าเลยมีลูก 4 คน แล้วคุณป้าเลยก็ได้เล่าถึงการกินอาหารของสตรีหลังคลอดและการอยู่ไฟ การดื่มน้ำร้อน ซึ่งเชื่อว่าหากดื่มน้ำร้อนมากๆ จะทำให้มีน้ำนมไหลแรงเลือดลมดี มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น น้ำคาวปลา และเลือดเสียที่ค้างอยู่ในมดลูกขับออกให้หมด โดยน้ำร้อนที่ใช้ดื่มจะใช้ทั้งน้ำร้อนอย่างเดียวและน้ำต้มสมุนไพร ส่วนสมุนไพรที่นำมาใช้ต้มกับน้ำดื่ม ได้แก่ว่านชักมดลูกหรือว่านทรหดนำไปย่างไฟแล้วจึงนำมาต้มดื่ม ผสมกับพริกไทยและหัวกระเทียม อาหารในช่วงหลังคลอดบุตร ในช่วงที่อยู่ไฟเป็นช่วงที่หญิงชาวไทยเขมรสุรินทร์ต้องระวังตัวและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษกว่าช่วงอื่น ๆ เพราะมีความเชื่อว่า ถ้ารับประทานอาหารไม่ถูกต้อง แผลที่คลอดจะอักเสบ หายช้า มดลูกจะไม่เข้าอู่ หรือกลัวไม่มีน้ำนมให้ลูก แม้ว่าระยะหลังมา จะได้รับความรู้จากสื่อต่างๆ ด้านโภชนาการและคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่สาธารสุขหรือบางคนไปคลอดที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย ก็จะได้รับความรู้ในการปฏิบัติตัวจากเจ้าหน้าที่เหล่านั้น แต่เมื่อกลับมารักษาตัวอยู่บ้าน ความเชื่อและหลักปฏิบัติเดิมก็จะกลับมามีอิทธิพลเหมือนเดิม เนื่องจากความกลัวต่างๆ นา ๆ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม โดยมากอาหารที่รับประทานระหว่างอยู่ไฟ ทั่วๆ ไปมัก ได้แก่ อาหารแห้ง เช่น ปลาปิ้ง เนื้อหมูปิ้ง ต้องปิ้งให้สุกใหม่ๆ ส่วนเกลือเอาไว้ขยำกินกับข้าว หรือต้มข้าวต้ม ถ้าเป็นแกงก็จะเป็นแกงหัวปลีใส่ปลาหรือหมูอาหารจำนวนต้ม ได้แก่ ต้มจืดฟักใส่หมู-ไก่บ้าน ถ้าเป็นอาหารรสเผ็ดก็ได้แก่ ผัดขิงใส่เนื้อหมู่-ไก่บ้าน ผัดดอกกุยช่ายใส่เนื้อหมู ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารบำรุงน้ำนมแม่เพื่อให้มีน้ำนมมากๆ ไว้สำหรับเลี้ยงลูกให้แข็งแรง

สรุปได้ว่า
จากความเชื่อที่ถือปฏิบัติในการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอดในกลุ่มชาติพัธุ์เขมร มีความเชื่อที่เหมือนๆกันไม่ว่าจะมีอายุที่แตกต่างกันหรือภูมิลำเนาต่างกันแต่มีชาติพันธุ์เดียวกัน จะเห็นได้ว่ามีความเชื่อ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภค ซึ่งจะเห็นได้ชัดในกรณีการเลือกรับประทานอาหารของสตรีมีครรภ์ และสตรีหลังคลอดบุตรที่มีข้อห้าม ในเรื่องอาหารมากมาย เนื่องจากเป็นช่วงวิกฤติที่สำคัญของวัยเจริญพันธุ์ จึงต้องมีการระวังเป็นพิเศษ ไมว่าจะเป็นเรื่องอาหารและการปฏิบัติตน จากบทความที่กล่าวมาเบื้องต้นทั้งหมดข้าพเจ้าใจศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ของการบริโภคอาหารในท้องถิ่น ของสตรีหลังคลอดในชุมชนบ้านดงมัน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยเห็นว่าเราควรจะมีมุมมองในหลายๆด้านในการยึดหลักการบริโภคอาหารของสตรีหลังคลอดแบบชาวบ้านดงมัน รวมทั้งข้อมูลทางโภชนาการจากกระทรวงสาธารณสุขให้มีความผสมผสานกลมกลืนกันเป็นการช่วยส่งเสริมสตรีหลังคลอดในระยะให้นมบุตรมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีพื้นฐานในการบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการมีความเชื่อในการบริโภคอาหารอย่างมีเหตุผล